ถ่ายรูป ถ้าจะเอาให้ดูดี ไม่เน้นลูกเล่นมาก ย้ำ ไม่เน้นลูกเล่น
กฏสามส่วน (Rule Of tird)
เป็นวิธีการจัดมุมกล้องที่ค่อนข้างง่ายที่สุด เป็นลักษณะการจัดมุมกล้อง ที่ต้องการสือถึง จุดเด่นในภาพ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพ กล่าวคือ นอกจากที่เราจะทำให้ผู้ที่ดูภาพ เห็นวัตถุหลักที่เราถ่ายแล้ว จะสามารถสื่อถึงสภาพแวดล้อม หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ลักษณะการจัดมุมกล้อง จะเป็นการขีดเส้นทั้งหมด 4 เส้นลงบนภาพที่เราจะถ่าย ดังรูป
เหมือนตาราง O-X ครับ แล้วให้วัตถุที่ต้องการถ่าย อยู่ตรงบริเวณที่ตัดกัน หรือ ตรงช่องไปเลย
จัดองค์ประกอบของภาพ ด้วยการซูม
บางทีบางครั้งเราไม่ต้องการอะไรบางอย่างที่แวดล้อมอยู่ เราสามารถตัดมันออกไปได้ด้วยการซูมเข้าไป ยกตัวอย่างเช่นรูปนี้
รูป ที่ถ่ายโดยไม่ได้จัดองค์ประกอบ
รูปที่ถูกจัดองค์ประกอบด้วยการซูม
น้ำหนักของภาพ สิ่งที่ไม่ควรมองภาพ
เวลาที่เราถ่ายภาพ ควรนึกใว้ในใจเสมอ ว่า รูปทั้งรูปต้องมีควาสมดุลย์กัน เพื่อที่จะไม่ให้เกิดอาการที่ว่า รูปจะหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ดังเช่นรูปนี้
สังเกตดูว่า รูปนี้ จะมีลักษณะการจัดมุมกล้องผิด เพราะรูปที่ออกมา หนักขวามากเกินไป อาการแบบนี้เกิดจากผู้ถ่าย ลุกลี้ลุกลนมากเกินไป และคิดว่าการให้นางแบบอยู่มุมกล้อง จะออกมาสวย แต่มิได้คำนึงถึงน้ำหนักของรูป ทางที่ดี ควรจะให้นางแบบ มาอยู่ตรงกลางของรูป ถ้าจะถ่ายหน้า ก็เอาให้ดู บีบๆอัดๆ ในรูป ดังรูปนี้เลยจะออกมาดูดีกว่า
มันอึดอัดมากไปไงน้อง ถึงต้องมาอัดกันหน้ากล้องเนี้ย หุหุ
ภาพนี้ คนสองคนนี้ เค้าไมได้ตั้งใจจะมาอัดกันหน้ากล้องหรอกครับ แต่ได้อานิสงส์จากการซูม ในการจุดองค์ประกอบของภาพ ทำให้ได้อารมณ์มากกว่าภาพ Portrait แบบธรรมดาๆกว่าเยอะเลย
นอกจากนี้การจัดองค์ประกอบของภาพ ยังมีวิธีที่แตกต่างกันออกไปอีกมากมาย เช่น การถ่ายภาพบุคคล ก็มีวิธีการจัดองค์ประกอบของภาพไปอีกแบบหนึ่ง ถ่ายรูป วิว ก็แยกออกไปเป็นอีกแบบนึง ซึ่งรายละเอียดค่อนข้างมาก ผมจะทยอยลงลึกให้ทีหลังเลยก็แล้วกัน อันนี้เอาคร่าวๆก่อนก็แล้วกันฮับ
เสริมกันอีกนิด เรื่องค่า ความเร็วชัตเตอร์
ในบางกรณี บางครั้ง ความเร็วชัตเตอร์สูงต่ำ ก็มีผลต่อความน่าสนใจของภาพเช่นกัน ดังตัวอย่าง
ภาพที่ต้องการความเร็วชัตเตอร์ต่ำ อันได้แก ภาพพวกสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ เช่น พัดลม น้ำตก หรือ อื่นๆ ภาพพวกนี้ ไม่ต้องการให้อะไรไปหยุดมันทำให้รู้สึกเสียอารมณ์ เพราะฉะนั้น เวลาถ่ายภาพพวกนี้ ควรพึงระลึกใว้เสมอ ว่า ค่า ความเร็วชัตเตอร์ ควรจะไล่เลี่ยๆอยู่ที่ 1/10 1/8 ขึ้นไปเลยครับ หรือบางที ภาพตอนกลางคืน ที่เราจะเห็นเป็นแสงลากยาวๆ นั้นเค้าก็ใช้ความเร็วชัตเตอร์แบบ T ครับ คือ กดชัตเตอร์ค้างใว้ มันก็จะเปิดม่านชัตเตอร์ จนกว่าเราจะยกนิ้วออกจากมัน
บางที วัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่ ก็ไม่ต้องการการหยุดนิ่ง ปล่อยให้มันไหล ไป ให้ลอยลงสู่ทะเล (น้ำเน่าและๆ) อย่างรูปนี้นะครับ ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/3 F2.8 ครับ ในโหมด S คือปรับความเร็วชัตเตอร์ด้วยมือ
ขณะรถวิ่ง ใช้ความเร็วชัตเตอร์ ต่ำ (พอควรพอ) สร้างอารมณ์เหมือนกำลังวิ่งไปหา ได้เหมือนกัน อ้อ เกือบลืม รูปนี้ ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/10 F4.0 ครับป๋ม ในโหมด M
ภาพที่มืด สามารถทำให้สว่างได้ ด้วยการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำๆ เพื่อจะได้รับแสงเข้ามามากๆ แต่เราต้องการเปิดรูรับแสงให้แคบลง เพราะถ่ายรูปวิว ต้องการระยะชัดลึก ก็เลยทำการ ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ใว้ที่ 1วินาที่ และ ค่า F 4.5 ด้วยโหมดเมนวล
(ในการถ่ายภาพแบบนี้ ผู้ถ่ายต้องมีความนิ่งสูงมาก เนื่องจากม่านชัตเตอร์ เปิดเป็นเวลานาน อาจจะทำให้ภาพสั่นไหวได้ ถ้าสังเกตุกันดีดี ภาพนี้ก็มีไหวๆอยูเหมือนกันครับ เพราะผมมือไม่นิ่ง แต่ถ้าทางที่ดี ใช้ขาตั้งกล้อง เวริคที่สุดครับ)
ถ่ายภาพ ที่กำลังเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วชัตเตอร์ ต่ำ
โฟกัสตรงกลาง เลื่อนกล้องตามวัตถุ ขณะที่ม่านชัตเตอร์เปิด จะทำให้ได้อารมณ์แปลกๆเหมือนกัน อิอิ
การใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงๆในการหยุดภาพที่กำลังเคลื่อนไหวตลอดเวลา (ภาพจากโหมด DSP Sport mode)
Depth of Field ความลึก และตื้น ของระยะชัด
ขอพูดกันอีกทีนะครับ เพื่อสะดวกในการยกตัวอย่าง ค่า ความลึก และตื้นของระยะชัด ขึ้นอยู่กับ
ทางยาวโฟกัสเลนซ์ : เลนซ์Wide โดยปกติ จะมีทางยาวโฟกัส มากกว่า เลนซ์ Tele เป็นเรื่องปกติ (ทางยาวมาก ชัดลึก)
รูรับแสง : ยิ่งรูรับแสงแคบเท่าไหร่ (F มากๆ) ก็จะยิ่งชัดลึกมากเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน ถ้ารูรับแสง กว้างมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ มีระยะชัดลึกที่น้อยลงมา กล่าวคือ ระยะชัด ตื้นกว่า รูรับแสงกว้างๆนั้นเอง
ระยะห่างระหว่างเลนซ์ กับวัตถุ : ยิ่งใกล่ชิดกับเลน มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมี ระยะชัด น้อยลงเท่านั้น(ชัดลึกน้อยลง) ดังตัวอย่างรูป
ถ่ายด้วย ระบบ Manual Fucus ตั้งใว้สั้นที่สุด (10MM) ของกล้องที่สามารถทำได้ จึงทำให้ บริเวณหลัง มัวไปหมด
ปัญหา กล้องโฟกัสผิด
พบได้บ่อย ในกล้อง อัตโนมัติ หรือพวกกล้องคอมเพค โดยจะไปโฟกัสที่บริเวณหลังภาพ ซึ่ง กล้องระดับ Prosumer บางตัวก็มีปัญหา แต่สภาพแสงอย่างงี้ส่วนใหญ่ โฟกัสยากครับ ยกตัวอย่างเช่นรูปนี้ครับ
อันนี้จะเป็นรูปของประธานสีม่วงตอนลุกขึ้นยืนแนะนำตัวในงานมีตติ้ง แต่ว่า ระบบ AF มันเอ๋อ ดันไปโฟกัสหลังท่านประธานสีม่วง เพราะว่า แสงที่มีมากกว่าภายในร้านซิสเลอร์(มันไปเห็นดีเห็นงามกับคนอื่น) เหอะๆ จึงทำให้ท่านประธานสีม่วงของเรา เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามไปทันที
รูปนี้ ก็เกิดจากการโฟกัสผิดเช่นกัน เกิดจากการที่ไม่ได้ใช้โหมดมาโคร ในการถ่ายภาพระยะประชิด จึงทำให้กล้องไปโฟกัสที่หน้าคนแทน (มันทะแม่งๆจริงๆนะเนี้ย หุหุ)
ในกรณีนี้แก้ไขได้โดย การใช้ Manual Fucus เข้าช่วยครับ หรือ ถ้ากล้องท่านไม่มีเมนวลโฟกัส ก็ให้ทำการ หาวัตถุที่มีระยะห่างใกล้เคียงกัน โฟกัสซะก่อน แล้วย้ายตำแหน่งภาพมาที่ประธานสีม่วง แล้วถึงจะกดถ่ายได้ครับ
เสริมอีกนิด เรื่องระบบวัดแสง
ระบบวัดแสงในกล้องดิจิทัลในปัจจุบัน มีอยู่สามแบบ
1. เฉลี่ยหนักกลาง ระบบนี้ กล้องจะวัดแสงเฉลี่ยนหนักกลางเป็นส่วนใหญ่
2. เฉลี่ยทั้งภาพ แบบนี้ กล้องจะวัดแสงทั้งหมด หลายๆจุด(เกือบทั้งภาพ) แล้วเอาค่ามาประมวลผลอีกที ว่าควรจะปรับตั้ง่ค่าแบบไหนบ้าง
3. วัดแสงเฉพาะจุด ระบบนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มชำนาญ และตัดสินได้แล้วว่า ควรจะวัดแสงที่ไหน ภาพถึงจะออกมาดูดี