บางคนอาจจะไม่คุ้นชื่อของ Microlab เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้ลำโพงคอมมานานจะรู้จักชื่อนี้กันดี เพราะ Microlab เป็นลำโพงจากประเทศจีนที่ได้ชื่อว่า คุ้มค่าเกินราคา เนื่องจากรุ่นถูกๆก็ให้เสียงที่ดีทีเดียว โดยเฉพาะรุ่นยอดฮิตอย่างตระกูล X3 ที่หลายๆคนถามหากัน เพราะให้เสียงที่ดี กำลังขับสูง แถมยังเปลี่ยนสายเล่นได้อีกด้วย ที่สำคัญ ราคาไม่แพง หลายๆคนเลยชอบรุ่นนี้กันเยอะ
เห็นว่ามาจากจีนแบบนี้ แต่ Microlab ก็ไม่ใช้บริษัทผลิตลำโพงธรรมดานะครับ เพราะหัวหน้าวิศวกรการผลิตลำโพงของ Microlab ก็คือ Peter Larsen ผู้ที่ออกแบบดอกลำโพงให้กับ VIFA , Scan-speak และ Dynaudio ครับ ดังนั้นดอกลำโพงของ Microlab ทุกตัวย่อมไม่ธรรมดาแน่นอนครับ
พอดีช่วงนี้เห็นคนมาถามหาลำโพงใช้กับเครื่องคอมกันหลายคน ผมก็เลยเกิดความสนใจที่จะลองจับลำโพงคอมมา review ดูบ้าง จริงๆเรื่องของเรื่องมันเกิดจากกระแสลำโพง Microlab ตัว SOLO นี่แหละครับ คือผมเห็นหลายๆคนซื้อมาใช้แล้วติดใจกันก็เลยสนใจว่ามันเป็นลำโพงแบบไหนคนถึงได้ชอบ ผมเลยลองติดต่อไปทางตัวแทนจำหน่ายดูเผื่อจะได้ตัว SOLO มาลอง test ฟังเล่นๆ ปรากฏว่า ลองไปลองมา ผมดันไปถูกใจตัวอื่นมากกว่าครับ เพราะด้วย Design และคุณภาพเสียงที่ผมรู้สึกว่า มันเหมาะกับการฟังเพลงมากกว่าตัว SOLO เยอะเลยครับ พูดง่ายๆว่า คุณภาพเสียงโดยรวมตัวนี้เหนือกว่า SOLO6C ครับ ตัวที่ผมว่ามาก็คือ MICROLAB H-200 ซึ่งก็เป็นตัวที่จะจับมา review วันนี้แหละครับ
งานประกอบภายนอกของ H-200 ก็ดูแล้วเรียบร้อยดีครับ เสียดายที่ลายไม้ด้านนอกเป็นคล้ายๆกับการเอาสติ๊กเกอร์ลายไม้มาหุ้ม ไม่ได้เป็นลายไม้ธรรมชาติแท้ๆ ทำให้ความขลังมันลดลงมาหน่อย แต่การเก็บงานถือว่าทำได้ดีครับ ดูเนี้ยบใช้ได้ การล๊อคดอกติดกับตู้ก็ทำได้ดี น้ำหนักเองก็อยู่ในเกณฑ์ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะตู้ซับถือว่าหนักใช้ได้ทีเดียว
ที่น่าสนใจก็ตรงตู้ซับนี่แหละครับ เพราะให้ขาตู้ซับแบบเป็น Spike มาให้ ลักษณะมันจะเป็นเหล็กก้านเรียวเล็ก ซึ่งเป็นขาที่ป้องกันอาการเสียงสั่นจากตู้เบสครับ จะช่วยให้ image ของเบสนั้นนิ่งขึ้นกว่าการใช้ขาธรรมดา หรือเป็นขารองแบบยางทั่วๆไป
ขนาดของตู้ซับอาจจะดูใหญ่ไปหน่อยสำหรับลำโพงคอมทั่วไป แต่การวางก็ไม่ได้เกะกะตรงไหนครับ เพราะเราควบคุมคุณภาพเสียงผ่านทางตัว Pre Control ที่แยกออกมาต่างหากจากตัวซับ ทำให้เราสามารถเอาซับไปวางตำแหน่งอื่นได้โดยสะดวก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงจะอาศัยใต้โต๊ะ หรือไม่ก็ข้างโต๊ะนี่แหละครับ เพราะตู้ซับวางที่ไหนก็ได้ขอแค่จูนเบสให้ดีๆก็พอ ตัวหลักๆที่สำคัญก็คงเป็นลำโพงซ้ายขวานี่แหละครับที่ต้องขอตำแหน่งการวางดีๆหน่อย เพราะลำโพงตัวนี้ค่อนข้างเด่นเรื่อง Focus Image มากๆ ดังนั้นถ้าเราวางเหลื่อม หรือวางตำแหน่งไม่ดี ตำแหน่งของเสียงและชิ้นดนตรีต่างๆมันจะเอนไปด้านใดด้านหนึ่งแทน และถ้าจะให้ดี ควรวางลำโพงให้ตำแหน่งของ Tweeter เสมอพอดีกับหูของเราด้วยนะครับ เพื่อการฟังเพลงจะได้ฟังตำแหน่งได้ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาดูกันที่เรื่องของเสียง
อย่างที่ผมเกริ่นไว้นิดหน่อยแล้วว่า ลำโพงตัวนี้จะเด่นเรื่อง Focus ชิ้นดนตรีเอามากๆ โดยเฉพาะเสียง Vocal ที่จะ Focus ได้เด่นชัดเลยทีเดียว และยังเป็นลำโพงที่ควรจะใช้ Soundcard ดีหน่อยเพื่อเรียกศักยภาพที่แท้จริงของมันออกมาครับ เพราะเท่าที่ผมลองกับ soundcard on board ผลที่ได้ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ จริงๆมันก็ใช้ได้อยู่ แต่ก็ยังสู้การต่อผ่าน DAC หรือผ่าน Soundcard ดีๆไม่ได้ ถ้าอยากได้ยินฟังความสามารถเต็มๆของลำโพงก็อาจจะต้องลงทุนนิดนึงครับ
การให้ soundstage ของลำโพงถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะการให้มิติด้านลึกที่ให้ความรู้สึกได้ใกล้เคียงกับลำโพงระดับ Hi-End ทำได้เลยทีเดียว ปรกติลำโพง PC ทั่วๆไป จากไม่ค่อยให้มิติด้านลึกเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะให้มาแบนๆเป็นหน้ากระดานมากกว่า โดยเฉพาะลำโพงราคาถูกๆทั่วไป ถ้าใครเคยใช้ลำโพงถูกๆมาก่อน พอเปลี่ยนเป็น H-200 จะเห็นความแตกต่างเรื่องมิติอย่างชัดเจนเลยทีเดียว ถ้าลองหลับตาแล้วฟังเพลงไปด้วย จะรู้สึกถึงความลึกที่ถอยเข้าไปในแนวหลัง ยิ่งถ้าวางใกล้ๆผ้าม่าน หรือกำแพง จะรู้สึกเหมือนว่าการบรรเลงเพลงไปเกิดอยู่ลึกเข้าไปในกำแพงเลยทีเดียว
จริงๆตัว H-200 ควรจะวางระยะให้ห่างจากกันพอสมควรนะครับ เพราะจะช่วยในเรื่องการสร้างมิติ และ soundstage ให้ดีมากยิ่งขึ้น ยกเว้นว่าเนื้อที่จำกัด ก็คงต้องพยายามวางให้ห่างจากกันที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกันครับ
เสียงย่านกลางค่อนข้างเด่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนของ Vocal ที่จะให้เสียงที่เปิด ออกไปทางสด และสว่างแต่ไม่จัดจ้าน ฟังแล้วลื่นหู มวลเสียงไม่หนาเท่าไหร่ ทำให้เสียงร้องฟังดูชัดใส ไม่มีอาการขุ่นให้รู้สึกแต่อย่างใด เสียงกลองเองก็มีความหนักแน่น หัวโน้ตกระแทกกระทั้นลงมาได้ดี แต่ไม่หนักจนฟังดูโอเว่อร์ เสียงสแนร์เด่นชัดฟังง่าย สแนร์ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากๆ การ Focus Image เสียงค่อนข้างชัดเจน ทำให้ฟังง่ายว่าชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นเล่นตำแหน่งไหน
เสียงเบสนุ่มนวล ช่วง Impact เบสให้แรงกระแทกที่ชัดเจน แต่ไม่กระแทกแรงจนรู้สึกว่าเบสแข็งกระด้าง ทำให้ฟังเบสได้สบายๆไม่อึดอัด ช่วง Middle เบสก็ได้ยินชัดเจน โดยเฉพาะเวลาที่มีจังหวะของการเล่นเบสตีคุ่ไปกับกระเดื่อง เราจะสามารถฟังออกได้อย่างง่ายดาย เพราะกระเดื่องกับเบสจะให้เสียงที่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ฟังแล้วลื่นหูเอามากๆ ช่วง deep เบสอาจจะน้อยไปหน่อย ต้องจูนส่วนที่เป็น sub เพื่อเพิ่ม deep เบสเข้ามาอีกหน่อยถึงจะกำลังดี แต่มวลของเบสโดยรวมจะน้อยกว่าลำโพงตัวถูกๆหน่อย เพราะลำโพงตัวนี้จะเน้นคุณภาพของแต่ละย่านมากกว่า ความเว่อร์ของพลังเบส เบสที่ให้มาจึงพอเหมาะพอเจาะกำลังดี ไม่บวม ไม่เยอะเกิน และนุ่มนวลฟังสบาย
เสียงสูงชัดใสและพลิ้วมากๆ ไม่มีอาการแหบกระด้าง และแบนแข็งเหมือนกับลำโพงถูกๆทั่วไป เรียกได้ว่า คุณภาพเสียงสูงอยุ่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว หัวโน้ตของเสียงสูงก็มีความชัดเจน โดยเฉพาะช่วงที่มีกีต้าร์ขึ้นจะโดดเด่นเป็นพิเศษ สามารถรู้สึกถึงตำแหน่งของกีต้าร์ได้ชัดเจน นิ่ง และเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แตกต่างจากลำโพงถูกๆทั่วไปที่จะเห็นเป็นกีต้าร์แบนๆ และไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนคนที่เล่นกีต้าร์ได้ การให้รายละเอียดเสียงสูงก็ทำได้ดีมากๆ เก็บรายละเอียดในครบทุกเม็ดเลยทีเดียว แต่ก็มีปัญหานิดหน่อยตรงช่วงเสียงสูงที่อยู่ไกลๆ ตัวลำโพงจะให้เสียงบางไปนิด โดยส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาจากตัวภาคขยายของตัว sub มากกว่า ถ้าเกิดต่อกับชุด Integrate Amp ดีๆ น่าจะรีดศักยภาพออกมาได้ดียิ่งกว่านี้อีก
เท่าที่ผมเอามาลองต่อกับ iPOD Classic ดู ก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจครับ เพราะโดยตัวลำโพงเองก็มีกำลังขับอยู่ที่ 108 watt RMS เลยทีเดียว เสียงที่ออกมาเลยให้คุณภาพที่ดีในระดับนึงเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่อยากเอาไปใช้กับ iPOD แค่มี DOCK ดีๆที่ชาร์ท iPOD ได้ซักตัว ก็โอเคแล้วครับ
แต่การต่อผ่าน PC ที่มี soundcard หรือ DAC ดีๆ ก็จะให้คุณภาพที่ดีกว่าอีก step นึงครับ
โดยรวมถือว่าเป็นลำโพงที่ให้เสียงดีมากๆอีกตัวนึงเลยทีเดียว จะเอามาใช้สำหรับฟังเพลงก็สบาย เอามาใช้ดูหนังก็ได้ แต่จริงๆถ้าจะดูหนัง ก็คงต้องมองรุ่น H-500 ที่เป็นตัว 5.1 แทนครับ จริงๆถ้าว่ากันตามตรง ผมว่าเสียงของ H-500 นี่ เหนือกว่า H-200 ซะอีกครับ แต่ราคาของ H-500 ก็สูงไปหน่อย แค่ H-200 นี่ก็ถือว่าเหลือกินแล้วละครับ ใครที่สนใจก็ไปลองหาฟังดูก่อนซื้อนะครับ ลองดูว่าชอบไม๊แล้วค่อยซื้อก็ยังไม่สาย ส่วนราคาเห็นว่าจะอยู่ที่ราวๆ 6 พันต้นๆครับ ซึ่งถ้าเทียบกับงานและเสียงที่ได้ ราคานี้ถือว่าคุ้มมากๆครับ ยืมมาแล้วไม่อยากจะคืนเลย ถ้าไม่ติดว่ามีโครงการจะลุย IEM อีกตัวนึง ก็อาจจะสอยมาเป็นของตัวเองเลยก็ได้ครับ
ขอขอบคุณ G-7
ที่มีบทความดีๆ มาให้แนะนำ