
อินเทล ดิเวลลอปเปอร์ ฟอรัม, ซานฟรานซิสโก, 24 กันยายน 2552 - วันนี้ผู้บริหารของอินเทลกล่าวในงานไอดีเอฟว่า กฎของมัวร์ และความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีการผลิตแบบ 32 และ 22 นาโนเมตร (nm) ของอินเทลจะส่งผลทำให้เกิด "นวัตกรรมและการผสานระบบ" ที่กว้างขวางและรวดเร็วมากขึ้น ส่วนโปรเซสเซอร์อินเทล
TM อะตอม
TM, อินเทล
TM คอร์
TMและอินเทล
TM ซีออน
TM รวมทั้งผลิตภัณฑ์ System on Chip (SoC) ในอนาคตจะทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ทำงานได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยมีตัวอย่างคือ การนำเอาระบบกราฟฟิกไปรวมไว้ในชิปรุ่นต่อไปในอนาคตเป็นครั้งแรก
นาย ฌอน มาโลนี่ รองประธานบริหารผู้จัดการทั่วไป กลุ่มอินเทล อาร์คิเทคเจอร์ กล่าวว่า "ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา กฎของมัวร์ได้สร้างให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ที่มากกว่าประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น การที่เราเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ชุดคำสั่งในโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็วช่วยให้เราสามารถใส่คุณสมบัติและการทำงานต่างๆ ลงไปในโปรเซสเซอร์ของเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดนวัตกรรมต่างๆมากมายในอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือผู้บริโภค นักเล่นเกม และองค์ธุรกิจต่างๆ ที่ซื้อคอมพิวเตอร์พลังอินเทลไปใช้งานนั่นเอง"
โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไป เวสท์เมียร์ (Westmere) และ แซนดี้ บริดจ์ (Sandy Bridge)
การบรรยายในงานไอดีเอฟครั้งนี้ มาโลนี่ ได้ทำการสาธิตประสิทธิภาพของพีซีที่ใช้โปรเซสเซอร์เวสท์เมียร์ ที่แสดงให้เห็นว่างานง่ายๆ โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ช่วยให้การทำงานพื้นฐานที่ผู้ใช้ ใช้เป็นประจำทุกวัน อาทิเช่น การท่องอินเทอร์เน็ตและการเปิดวินโดวส์หลายๆ หน้าพร้อมกัน รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างไร
นอกจากนั้นเวสท์เมียร์ยังเป็นโปรเซสเซอร์ 32 นาโนเมตร รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของอินเทลที่มีการรวมเอาระบบกราฟฟิกไว้ในโปรเซสเซอร์ และยังรองรับการทำงานของเทคโนโลยี Intel® Turbo Boost และ เทคโนโลยี Intel® Hyper-Threading อีกด้วย นอกจากนั้นโปรเซสเซอร์รุ่นนี้ยังเพิ่มชุดคำสั่ง Advanced Encryption Standard (หรือ AES) รุ่นใหม่ เพื่อช่วยให้การเข้ารหัสและการถอดรหัสรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม การผลิตโปรเซสเซอร์เวสท์เมียร์อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานตามเป้าที่วางไว้ โดยจะเริ่มผลิตภายในไตรมาสที่สี่ของปีพ.ศ. 2552 นี้
หลังจากโปรเซสเซอร์เวสท์เมียร์แล้ว ชิปแบบที่มีระบบกราฟฟิกของอินเทลจะเป็นโปรเซสเซอร์แบบ 32 นาโนเมตร ที่มีชื่อรหัสว่า แซนดี้บริดจ์ (Sandy Bridge) โดยที่โปรเซสเซอร์รุ่นนี้ จะเป็นรุ่นที่ 6 ที่มีกราฟิกคอร์อยู่บนโปรเซสเซอร์คอร์ แถมยังมีระบบเร่งความเร็วสำหรับการประมวลผล floating point การประมวลผลภาพวิดีโอ และซอฟท์แวร์ที่ต้องใช้พลังการประมวลผลมากเป็นพิเศษที่ใช้ใน แอพพลิเคชั่นด้านสื่อต่างๆอีกด้วย มาโลนี่นำเอาคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรเซสเซอร์แซนดี้บริดจ์ มาแสดงให้เห็นการทำงานโดยซอฟท์แวร์วิดีโอและ 3-D หลากชนิด เพื่อให้ผู้ชมเห็นว่าผลิตภัณฑ์ในอนาคตซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนานี้มีประสิทธิภาพอย่างไร
นอกจากนั้นมาโลนี่ยังได้นำซิลิกอนรุ่นแรกที่ใช้สถาปัตยกรรมลาร์ราบี (Larrabee) ซึ่งเป็นชื่อรหัสของ co-processor ที่เน้นการทำงานด้านกราฟฟิกเป็นหลักรุ่นต่อไปในอนาคตมาแสดง นอกจากนั้นเขายังยืนยันว่าบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์รายใหญ่ๆ ได้รับคอมพิวเตอร์ต้นแบบเพื่อนำไปใช้พัฒนาซอฟท์แวร์ของตนแล้ว
ภายในปีหน้าจะมีการเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์รุ่นแรกของลาร์ราบี โดยจะสามารถโปรแกรมได้โดยใช้พื้นฐานมาจากสถาปัตยกรรมของอินเทล และยังรองรับการประมวลผลคู่ขนานได้ดีขึ้นอย่างมากอีกด้วย ความสามารถในการโปรแกรมได้อย่างง่ายดายและความสามารถในการใช้ประโยชน์จาก เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์และเครื่องมือในการออกแบบที่มีอยู่ในปัจจุบันจะช่วยให้โปรแกรมเมอร์ได้ประโยชน์จากการเขียนโปรแกรมที่เห็นภาพได้อย่างเต็มที่ แถมยังนำเอาไปท์ไลน์กราฟฟิก 3-D หลากชนิดมาใช้ได้โดยง่าย อาทิเช่น rasterization, volumetric rendering หรือ ray tracing เป็นต้น
เมื่อนำคุณสมบัติเหล่านี้มารวมกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะพบกับรูปแบบการแสดงผลที่น่าตื่นตา ตื่นใจ ซึ่งมาโลนี่ได้ทำการสาธิตระบบแสดงผลแสงเงาแบบ real-time ของเกมยอดนิยมอย่าง "Quake Wars: Enemy Territory" โดยใช้สถาปัตยกรรมลาร์ราบี และโปรเซสเซอร์สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะรุ่นต่อไปของอินเทลที่ใช้ชื่อรหัสว่า กัลฟ์ทาวน์ (Gulftown) ซึ่งจะอยู่ภายใต้แบรนด์ อินเทล คอร์เป็นหลัก แม้ว่าในช่วงแรกๆ ลาร์ราบีจะอยู่ในรูปของการ์ดกราฟฟิกแยกต่างหากก็ตาม แต่ในที่สุด จะถูกนำไปผสานกับโปรเซสเซอร์บวกกับใส่เทคโนโลยีอื่นๆเพิ่มเติมลงไปด้วย
นอกจากนั้นมาโลนี่ยังได้ทำการสาธิตโปรเซสเซอร์อัจฉริยะสำหรับเซิร์ฟเวอร์รุ่นต่อไปของ อินเทลที่มีชื่อรหัสว่า เวสท์เมียร์ อีพี (Westmere-EP) รวมทั้งแถลงถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ไอเทเนียม (Itanium) สำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์ระดับไฮเอนต์ นอกจากนั้นมาโลนี่ยังแถลงถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของโปรเซสเซอร์ เนฮาเลม อีเอ็กซ์ (Nehalem-EX) ที่จะเริ่มจำหน่ายในเร็วๆนี้ โดยจะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับอินเทล
TM ซีออน
TM โปรเซสเซอร์ ซีรีส์ 5300 รุ่นปัจจุบันกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้า
มาโลนี่พูดถึงการรวมระบบประมวลผล ระบบเครือข่าย และระบบจัดเก็บข้อมูลภายในศูนย์ข้อมูลเข้าด้วยกัน โดยอินเทลตั้งเป้าที่จะเชื่อมโยง IO fabric ภายในศูนย์ข้อมูลโดยใช้โซลูชัน Intel 10GbE เป็นหลัก นอกจากนั้นอินเทลยังร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอื่นๆในอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม ระบบเทคโนโลยี และโซลูชั่นเพื่อรองรับการทำงานของระบบศูนย์ข้อมูลแบบ "Hyper-scale" ตามแนวโน้มของการใช้งานอินเทอร์เน็ตและบริการ cloud อีกด้วย
หลังจากนั้น มาโลนี่ยังได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์ที่กินไฟน้อยเป็นพิเศษ อินเทล
TM ซีออน
TM โปรเซสเซอร์ ซีรีส์ 3000 ที่มี TDP (Thermal Design Power) แค่ 30 วัตต์เท่านั้น นอกจากนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนแพลตฟอร์มที่ทำงานร่วมกันอย่างหนักหน่วงและต้องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อินเทลยังได้สาธิต reference system ของ "ไมโครเซิร์ฟเวอร์" แบบ single-socket เป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่ง reference system นี้ใช้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับสร้างนวัตกรรมไมโครเซิร์ฟเวอร์ในอนาคต
มาโลนี่ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์แบบ embedded "แจสเปอร์ ฟอร์เรสต์" (Jasper Forest) ที่เป็นตัวอย่างของการนำเอาสถาปัตยกรรมเนฮาเลม ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากมาขยายขอบเขตไปสู่ตลาดใหม่ๆ แจสเปอร์ฟอร์เรสต์ที่จะเริ่มจำหน่ายในปีหน้าถูกออกแบบมาสำหรับรายงานด้านระบบจัดเก็บข้อมูลเฉพาะด้าน ระบบสื่อสาร ระบบงานด้านการทหาร และระบบการบินอวกาศเป็นต้น โดยจะมีการผสมผสานระบบระดับใหม่เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่และยังช่วยประหยัดพลังงานสำหรับสภาพแวดล้อมที่แออัดเป็นพิเศษอีกด้วย
ท้ายสุด มาโลนี่ได้เปิดตัวระบบและเครื่องมือรักษาความปลอดภัยรุ่นใหม่สำหรับพีซีโดยใช้เทคโนโลยี อินเทล
TM วีโปร
TM (Intel® vPro
TM) และเครื่องมือที่ชื่อคีย์บอร์ดวิดีโอเมาส์ (KVM) รีโมทคอนโทรลที่จะช่วยให้พนักงานฝ่ายไอทีสามารถมองเห็นปัญหาได้เหมือนที่ผู้ใช้งานเห็น ทำให้สามารถวินิจฉัยปัญหาได้เร็วขึ้น ลดเวลาที่จะต้องเดินทางไปที่เครื่อง และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นอีกด้วย
เทคโนโลยีและการผลิตของอินเทล ทรานซิสเตอร์เกือบ 3 ล้านชิ้นในชิปเพียงอันเดียว
บ็อบ เบเกอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปแผนกเทคโนโลยีและฝ่ายการผลิตของ อินเทล ทำการบรรยายเน้นย้ำว่าอินเทลยังคงดำเนินตามกฎของมัวร์ และมุ่งมั่งคิดค้นนวัตกรรมที่จะสร้างประโยชน์ต่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง โดยอธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นตอนการผลิตแบบ 22 nm ซึ่งอินเทลถือเป็นบริษัทแรกซึ่งนำเอา SRAM และ logic test circuit แบบ 22 mm สำหรับการใช้งานจริงมาสาธิตเป็นรายแรก โดย SRAM แบบ 364 ล้านบิตประกอบด้วยเซล SRAM ขนาด 0.092 ตารางไมครอนและทรานซิสเตอร์จำนวน 2.9 พันล้านชิ้น ซึ่งถือเป็นเซล SRAM ที่มีขนาดเล็กที่สุดซึ่งนำมาใช้งานได้จริงในปัจจุบันนี้
โปรเซสเซอร์แบบ 22 nm ที่อยู่ในขั้นทดสอบนี้ ถือเป็นเทคโนโลยี high-k metal gate รุ่นที่สาม หลังจากที่โปรเซสเซอร์แบบ 45 nm รุ่นแรกเปิดตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน อินเทลยังคงเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตโปรเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้พลังงานอย่างประหยัด จนกระทั่งปัจจุบันอินเทลมียอดจำหน่ายโปรเซสเซอร์ 45 nm อยู่ที่ 200 ล้านชิ้น
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของฝ่ายการผลิตของอินเทลที่พัฒนาเทคโนโลยีที่ โดดเด่น มีคุณสมบัติครบถ้วน สำหรับใช้ร่วมกับการออกแบบในลักษณะ ซิสเต็มออนชิป (SoC) โดยใช้เทคโนโลยี 32 nm ของอินเทล เพื่อขยายขอบเขตการผลิตซีพียูไปสู่ตลาด SoC ใหม่นี้ นักออกแบบจะสามารถเลือกระหว่างขั้นตอนการประมวลผลประสิทธิภาพสูงสุดของซีพียูหรือการใช้พลังงานต่ำสุดก็ได้ ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับ SoC ที่ใช้ในการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีในโทรศัพท์มือถือและผลิตภัณฑ์อื่นๆ