บทความเด็ด
ดูบทความทั้งหมด-

ASUS ROG Swift OLED PG27AQWP-W Tandem OLED 27 Inch Review
ASUS ROG Swift OLED PG27AQWP-W Tandem OLED 27 Inch จอมอนิเตอร์เล่นเกมที่มีรีเฟรชเรทสูงมากที่ 540 Hz บนความละเอียด 2K และมาพร้อมกับสีสรรและดีไซน์ที่สวยงามพรีเมียมมาก
-

ROG Strix OLED XG32UCWMG WOLED gaming monitor 32-inch 4K 240 Hz TrueBlack Glossy Review
ROG Strix OLED XG32UCWMG WOLED gaming monitor 32-inch 4K 240 Hz ราคาสี่หมื่นนิดๆถือว่าต่ำลงแล้วนะครับ ถ้าใครมีงบไหว จัดเลยครับ ผมว่าดีนะ
-

ASUS RT-BE58 Go Dual-band WiFi 7 Travel Router Review
ASUS RT-BE58 Go Dual-band WiFi 7 Travel Router เพื่อเดินทางที่จะทำให้คุณไม่พลาดการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตเลยครับ
-

ROG Falchion Ace HFX Gaming Keyboard Review
ROG Falchion Ace HFX Gaming Keyboard Review คีย์บอร์ดเกมมิ่ง 65% สาย FPS ระดับมืออาชีพกับสวิตช์แบบแม่เหล็ก ROG HFX Magnetic Switches ที่ให้ความแม่นยำระดับเทพฯ มาพร้อม Polling Rate 8000 Hz ค่า Latency ต่ำเพียง 1.1 ms เร็วกว่าแคู่แข่งถึง 8 เท่า พร้อมไฟ RGB สุดสวยงามตอบโจทย์เกมเมอร์ระดับมืออาชีพอย่างแท้จริง
-

ASUS TUF Gaming Radeon™ RX 9060 XT 16GB GDDR6 OC Edition Review
ASUS TUF Gaming Radeon™ RX 9060 XT 16GB GDDR6 OC Edition สวยสมราคา ได้ FSR 4 มาช่วย เฟรมลื่นขึ้นเยอะเลย
-

ANTEC GSK 750W 80 PLUS GOLD REVIEW
ANTEC GSK ATX3.1 750W 80 PLUS GOLD REVIEW เพาวเวอร์ซัพพลาย Full Modular 100% จ่ายไฟนิ่งเยี่ยมทุกย่านประสิทธิภาพคุ้มค่าเกินราคาด้วยมาตรฐาน 80 PLUS GOLD รองรับเทคโนโลยี ATX 3.1, PCIe 5.1, สายเคเบิล 12V-2×6 และความเงียบเหนือระดับพร้อมรองรับซีพียูและการ์ดจอรุ่นใหม่ได้สบายๆ ในราคาเพียง 2,990บาทเท่านั้น
กระดานข่าว Vmodtech
เข้าเว็บบอร์ด
Update ข่าวสาร
ดูข่าวทั้งหมดนูทานิคซ์ ขยายขีดความสามารถ ช่วยองค์กร สร้างและบริหารจัดการ Distributed Sovereign Cloud

เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Nutanix Cloud Platform เพื่อช่วยให้ลูกค้า
คงความสามารถในการรักษาความปลอดภัย การควบคุม และ ความยืดหยุ่น
ในสภาพแวดล้อมแบบกระจายศูนย์
กรุงเทพฯ วันที่ 18 ธันวาคม 2568 - นูทานิคซ์ (Nutanix) (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับโซลูชัน Nutanix Cloud Platform (NCP) ที่ออกแบบมาเพื่อให้องค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับใช้และกำกับดูแลโครงสร้างพื้นฐานไอทีบนสภาพแวดล้อมแบบกระจายศูนย์ที่รันทั้งกลุ่มแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิม แอปพลิเคชันยุคใหม่ และแอปพลิเคชัน AI รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ตัดขาดการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ (fully disconnected environments) ที่ใช้ผู้ให้บริการคลาวด์ที่นำเสนอบริการที่เป็นอิสระ (sovereign services) หรือใช้งานผสมผสานกันทั้งสองแบบ โดยยังคงจัดการและดำเนินการได้ง่าย ครบจบที่เดียว
การที่องค์กรขยายงานไปในหลายภูมิภาคและใช้สภาพแวดล้อมคลาวด์ที่หลากหลาย ทำให้องค์กรหลายแห่งต้องเผชิญกับความซับซ้อนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องความเป็นอธิปไตยของข้อมูลและความต่อเนื่องทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน องค์กรยังต้องรักษาความยืดหยุ่นในการดำเนินงานโดยไม่ผูกติดกับระบบนิเวศของผู้ให้บริการคลาวด์เพียงรายเดียว ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของความยืดหยุ่นและความเป็นอธิปไตย
ความสามารถใหม่ใน NCP (Nutanix Cloud Platform) ช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าในการรันและกำกับดูแล (govern) ระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งบนสภาพแวดล้อมของตนเอง (on-premises) และบนผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีบริการแบบ sovereign services ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่เรื่อง resilience, ความปลอดภัย, การควบคุมระบบ และการบริหารจัดการในระดับ global ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การอัปเดตดังกล่าวยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มในการรองรับเวิร์กโหลดประเภทคลาวด์เนทีและ AI ที่ต้องการความปลอดภัยและการกำกับดูแลที่เข้มงวด ผ่านฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยใหม่ ๆ บน Nutanix Kubernetes Platform (NKP) และโซลูชัน Nutanix Enterprise AI (NAI)
นายโทมัส คอร์เนลลี่ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “เมื่อสถาปัตยกรรม cloud sovereign กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กร เราจึงนำเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ NCP หลายรายการ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้โดยไม่ต้องสูญเสียข้อได้เปรียบของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบกระจายศูนย์ ความสามารถใหม่เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้ามีความชัดเจนและการควบคุมที่จำเป็นในการกำหนดขอบเขตความเป็นอธิปไตยของตัวเองบนสภาพแวดล้อมแบบกระจาย และใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น รวมถึงความคล่องตัวที่คลาวด์แบบกระจายศูนย์มีให้”
ควบคุมแข็งแกร่ง-ปลอดภัยยิ่งขึ้น ตอบโจทย์สถาปัตยกรรมคลาวด์ที่เน้นความเป็นอธิปไตย
ปัจจุบัน NCP มอบการบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลแบบสอดประสานกัน (orchestrated lifecycle management) ของสภาพแวดล้อมแบบ dark-site หลากหลาย พร้อมตัวเลือกการปรับใช้กับระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร (on-premises) ต่าง ๆ สำหรับระบบกำกับดูแลและการควบคุม ทั้งนี้โซลูชัน Nutanix Central ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการคลาวด์แบบกระจายศูนย์นั้น สามารถทำงานในสภาพแวดล้อม on-premises ที่ลูกค้าควบคุมได้แล้ว นอกจากนี้ Nutanix Data Lens ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง การกำกับดูแล และมีความแข็งแกร่งในการต้านทานแรนซัมแวร์ ก็จะสามารถทำงานในสภาพแวดล้อม on-premises ที่องค์กรควบคุมได้ในเร็ววันนี้เช่นกัน
นูทานิคซ์ยังได้ขยายการสนับสนุนระบบนิเวศของพันธมิตร โดยโซลูชัน Nutanix Government Cloud Clusters (GC2) on Amazon Web Services (AWS) พร้อมให้บริการแล้วในขณะนี้ โซลูชันนี้ได้เพิ่มความสามารถให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลางในสหรัฐอเมริกาในการสร้างและดำเนินงาน distributed sovereign cloud โดย GC2 on AWS จะรักษาการผสานระเบียบการทำงานให้อยู่ภายในสภาพแวดล้อมของหน่วยงานรัฐบาลโดยไม่มี SaaS ภายนอกหรือการแชร์ credentials ช่วยให้คลัสเตอร์ของนูทานิคซ์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ภายใน Amazon Virtual Private Cloud (Amazon VPC) ของหน่วยงานนั้น ๆ
โซลูชัน Nutanix Cloud Clusters (NC2) on Google Cloud พร้อมให้บริการแล้วแก่ลูกค้าใน 17 ภูมิภาคทั่วโลก เพื่อมอบทางเลือกที่ใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัยเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ลูกค้า Region ใหม่ของ Microsoft Azure และ AWS ในสหรัฐอเมริกา จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับใช้สภาพแวดล้อมระบบที่สอดคล้องกับความเป็นอธิปไตยและข้อกำหนดระดับภูมิภาค ขณะที่ในยุโรป NC2 พร้อมให้บริการบนคลาวด์ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ของ OVHcloud
NC2 on Azure และ AWS ล้วนผ่านการตรวจสอบ SOC 2 Type 2 ประจำปี และมีการต่ออายุใบรับรอง ISO 27001, 27017, 27018, 27701 และ 22301 ถือเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการมอบความมั่นใจแก่ลูกค้าเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบริการคลาวด์ของนูทานิคซ์ นอกจากนี้ ในปี 2025 บริการคลาวด์ NC2 on Azure ยังได้รับใบรับรอง CSA Star Level 2 เป็นครั้งแรก การรับรองเหล่านี้เป็นการตรวจสอบอิสระที่ยืนยันว่าการควบคุมของ NC2 ที่สนับสนุนความปลอดภัย ความพร้อมใช้งาน ความลับ และความเป็นส่วนตัวของระบบ ได้ดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้รับการดูแลตามมาตรฐานที่ตรวจสอบสำหรับช่วงปี 2024-2025 ความสำเร็จเหล่านี้เป็นการยืนยันถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของนูทานิคซ์ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของ NC2 มั่นใจได้มากขึ้นว่าระบบที่นูทานิคซ์บริหารจัดการนั้น เป็นไปตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
NKP จะมีอิมเมจออปชั่น Ubuntu Pro ที่ผ่านการตรวจสอบ FIPS 140-3 และเป็นไปตามข้อกำหนด STIG ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มสำหรับองค์กรที่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด รวมถึงองค์กรที่รันเวิร์กโหลด AI ที่มีความละเอียดอ่อนหรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแล นอกจากนี้ นูทานิคซ์ยังขยายความสามารถในการแยกส่วนตาม VPC (VPC-based isolation), การปรับสมดุลโหลดในเครือข่าย (network load balancing) และการแบ่งส่วนย่อยระดับไมโคร (microsegmentation) ไปยังเวิร์กโหลดที่เป็นคอนเทนเนอร์ (containerised workloads) เพื่อให้ลูกค้าสามารถควบคุมเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ได้อย่างทั่วถึงสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการเปิดตัว NVIDIA AI Enterprise (NAI) ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาพิเศษสำหรับภาครัฐ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าที่ใช้ NAI สามารถปรับใช้โมเดล AI ชั้นนำด้วย NVIDIA NIM microservices ที่รันในคอนเทนเนอร์ที่เปิดใช้งาน FIPS และได้รับการปรับแต่งตามมาตรฐาน STIG (STIG-hardened) การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยให้กับ NAI ประกอบด้วยการผสานรวมข้อมูลประจำตัวที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การควบคุมการเข้าถึงโมเดลแบบละเอียด การบันทึกและการตรวจสอบที่ขยายเพิ่มเติมเพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ที่มีการกำกับดูแล นอกจากนี้ NVIDIA NIM microservices สำหรับการตรวจจับและวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ ก็ยังได้รับการรับรองและเพิ่มเข้าไปใน NAI อีกด้วย
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น เพื่อการทำงานแบบกระจายศูนย์
ความสามารถใหม่ของ NCP ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ลูกค้าสามารถคงความพร้อมใช้งานของแอปพลิเคชันใน sites และ regions ต่าง ๆ ในระหว่างที่เกิดเหตุขัดข้อง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสภาพแวดล้อมที่เน้นความเป็นอธิปไตยของข้อมูล ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงการพึ่งพาไซต์เดียวหรือผู้ขายรายเดียว และบริหารจัดการความเสี่ยงจากการถูกดำเนินการโดยเขตอำนาจศาลต่างประเทศ
ทีมงานขององค์กรสามารถใช้ตัวเลือกการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติแบบแบ่งหลายระดับ (tiered disaster recovery) ที่จะจับคู่ระดับการป้องกันให้เหมาะสมกับเวิร์กโหลดแต่ละชนิด เพื่อเพิ่มความทนทานต่อความเสียหาย และความสามารถที่แข็งแกร่งในการกู้คืนเมื่อเกิดภัยไซเบอร์ ความสามารถใหม่นี้ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความต่อเนื่องทางธุรกิจ แม้ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องในศูนย์ข้อมูลหรือ region สูงสุดสามแห่ง ดังนั้น การนำการทำ snapshot บนระบบมัลติคลาวด์ มาผสานเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การป้องกันแบบแบ่งลำดับชั้น (tiered approach) จะเพิ่มเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งให้กับเป้าหมายด้านความแข็งแกร่งทางไซเบอร์ โดยที่นโยบายความปลอดภัยจะยังคงสอดคล้องกันในระหว่างที่ระบบหยุดทำงาน และมีการย้ายเวิร์กโหลดแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดช่องว่างในการดำเนินงานเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเวิร์กโหลด
ฟีเจอร์ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพของโซลูชัน Nutanix Data Services for Kubernetes เหล่านี้ล้วนขยายการป้องกันการกู้คืนความเสียหายแบบซิงโครนัสและอะซิงโครนัสแบบแบ่งระดับ (tiered synchronous and asynchronous) ไปยังคอนเทนเนอร์ที่ใช้ข้อมูลทั้งแบบ block และ file ซึ่งช่วยให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ด้านการกำกับดูแล และการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการใช้แอปพลิเคชัน Kubernetes ที่ทันสมัย รวมถึงแอปพลิเคชัน AI-native
บริหารจัดการทุกสภาพแวดล้อมทั่วโลกแบบรวมศูนย์
ปัจจุบัน NCP พร้อมนำเสนอความสามารถในการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยยกระดับวิธีการปรับใช้และดำเนินงานของสภาพแวดล้อมแบบกระจายศูนย์ ให้ลูกค้ามีความสามารถในการควบคุมที่สอดคล้องกันมากขึ้นทั้งในไซต์ของตัวเองและผู้ให้บริการคลาวด์ที่เน้นความเป็นอธิปไตยของข้อมูล สำหรับส่วนนี้ Nutanix Infrastructure Manager ซึ่งเป็นเครื่องมือออโตเมชันตัวใหม่ จะช่วยปรับปรุงการปรับใช้ระบบ โดยใช้รูปแบบการออกแบบ (design patterns) ที่ผ่านการตรวจสอบและทดสอบอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ง่ายต่อการตั้งค่าและบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์ต่าง ๆ
ผู้ดูแลระบบสามารถมองเห็นและกำกับดูแลจากส่วนกลางได้ทั่วทั้งเครือข่าย ทั้งในระบบภายในองค์กรและบนพับลิคคลาวด์ ผ่านระบบควบคุมเครือข่ายแบบรวมศูนย์แห่งเดียว ที่ให้มุมมองทั้ง VLANs, เครือข่ายเสมือน และนโยบายด้าน microsegmentation
นอกจากนี้ การบริหารจัดการสภาพแวดล้อม Kubernetes และ AI จะราบรื่นมากขึ้น เนื่องจากคลัสเตอร์ NKP จะลงทะเบียนเข้าสู่ Nutanix Prism Central โดยอัตโนมัติ เพื่อให้มองเห็นได้ในระดับโครงสร้างพื้นฐานทันที ทั้งนี้ NAI ยังได้มีการเพิ่มแดชบอร์ดเมตริก LLM ใหม่ ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกิจกรรมทั้งคำขอ (request) และโทเค็น ช่วยให้ทีมงานในองค์กรสามารถติดตามตรวจสอบและบริหารจัดการเวิร์กโหลด AI ได้ดีกว่าเดิม
ความเห็นจากลูกค้า
Paul Bodet, CTO, LFB Group กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทด้านชีวเภสัชภัณฑ์ ความเป็นอธิปไตยของข้อมูลและการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา Nutanix Cloud Clusters on OVHcloud ช่วยให้ LFB สามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ทันสมัย ในขณะเดียวกันเราก็มั่นใจว่า ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของเรายังคงอยู่บนคลาวด์ในยุโรปที่เชื่อถือได้ ทั้งสองส่วนนี้ช่วยให้เราลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และส่งมอบนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพต่อไป ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด”
François Fleutiaux, CEO Euromed, Inetum กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการและโซลูชันดิจิทัล Inetum มุ่งมั่นที่จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ลดความซับซ้อนและเร่งการเดินทางสู่ไฮบริดคลาวด์ ด้วย Nutanix Cloud Clusters on OVHcloud เราสามารถเสนอทางเลือกแบบ sovereign ที่คุ้มค่าให้กับลูกค้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินงานที่ราบรื่นทั้งในระบบ on-premises และคลาวด์ ความร่วมมือนี้เสริมความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของเราในการส่งมอบโครงการปรับปรุงความทันสมัยด้วยความรวดเร็ว คาดการณ์ได้ และมั่นใจได้มากขึ้น”
ความเห็นจากพันธมิตรและผู้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม
Dave Pearson, Vice President, Infrastructure Systems, Platforms and Technologies Group, IDC กล่าวว่า “ระบบคลาวด์แบบกระจายศูนย์ที่มีอธิปไตยทางข้อมูล (distributed sovereign cloud) กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามภาระผูกพันด้านกฎระเบียบโดยไม่ทำลายความสม่ำเสมอในการดำเนินงาน โมเดลที่ยังคงการควบคุมไว้ในท้องถิ่น พร้อมกับที่รองรับความสามารถในการขยายขนาดของคลาวด์ไปด้วย จะเป็นโมเดลที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่กำลังปรับปรุงแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย ซึ่งนูทานิคซ์ได้ตอบสนองต่อความต้องการนี้ ด้วยการนำสถาปัตยกรรมแบบกระจายศูนย์และการรักษาอำนาจอธิปไตยข้อมูลมาใช้งานจริง โดยมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือรอบด้านทั้งการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ความเป็นส่วนตัว และการกำกับดูแล”
John Fanelli, Vice President, Enterprise AI Software at NVIDIA กล่าวว่า “องค์กรหลายแห่งกำลังสร้างกลยุทธ์ AI ที่ต้องการความปลอดภัย ความเป็นอธิปไตย และมีอิสระในการปรับใช้ข้ามสภาพแวดล้อมแบบกระจายศูนย์ ด้วยการรวมแพลตฟอร์มคลาวด์แบบกระจายศูนย์ของนูทานิคซ์เข้ากับการประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และ NVIDIA AI Enterprise ที่พร้อมสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ลูกค้าองค์กรจะสามารถสร้างและดำเนินงานระบบ sovereign AI ประสิทธิภาพสูงด้วยการควบคุม ความแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพที่มากขึ้น ไม่ว่าข้อมูลขององค์กรจะอยู่ที่ใดก็ตาม”
Srini Krishna, Intel Fellow, Data Center Products กล่าวว่า “ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับความเป็นอธิปไตยและการกำกับดูแล เทคโนโลยีของ Intel มอบความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์และประสิทธิภาพที่จำเป็น เพื่อรองรับโซลูชันคลาวด์แบบกระจายศูนย์ของนูทานิคซ์ เราทั้งคู่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าสร้างและจัดการสถาปัตยกรรมที่เน้นความเป็นอธิปไตยได้ง่ายขึ้น ซึ่งตรงตามข้อกำหนดการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เคร่งครัด พร้อมกับที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมในวงกว้าง”
Jeremy Foster, SVP & GM, Cisco Compute กล่าวว่า “องค์กรในปัจจุบันกำลังนิยามสถาปัตยกรรมระบบของตัวเองขึ้นใหม่ เพื่อรองรับทั้งแอปพลิเคชันที่มีมากมาย โมเดลความปลอดภัยแบบ zero-trust และความต้องการด้านความเป็นอธิปไตยของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ลูกค้าที่รัน NCP บนโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลและเครือข่ายของซิสโก้ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว แถมยังปลอดภัยและขยายขนาดได้ ย่อมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานที่สอดคล้องกันสำหรับเวิร์กโหลดที่สำคัญไม่ว่าจะรันอยู่ที่ใด การเพิ่มประสิทธิภาพครั้งใหม่ของนูทานิคซ์ ช่วยลดความซับซ้อนในการปรับใช้และกำกับดูแลเวิร์กโหลดเหล่านี้ ซิสโก้และนูทานิคซ์กำลังช่วยให้องค์กรสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ปฏิบัติตามข้อกำหนด และพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
Yaniv Fdida, Chief Product & Technology Officer for OVHcloud กล่าวว่า “องค์กรทั่วยุโรปกำลังมองหาวิธีรักษาการควบคุมข้อมูลและการดำเนินงานของตนอย่างเต็มที่ พร้อมกับที่ต้องเปิดรับความคล่องตัวของสถาปัตยกรรมคลาวด์แบบกระจายศูนย์ ความร่วมมือของเรากับนูทานิคซ์นำเอาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้และมีอธิปไตยข้อมูลของ OVHcloud มารวมกับความยืดหยุ่นของ Nutanix Cloud Clusters ช่วยให้ลูกค้าสามารถกำหนดและระบุขอบเขตความปลอดภัยของตัวเองข้าม region และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ด้วยความร่วมมือกัน เรากำลังช่วยให้องค์กรสามารถยกระดับการดำเนินงานด้วยความปลอดภัย ความแข็งแกร่ง และความเป็นอิสระ ในโลกที่มีการกระจายศูนย์มากขึ้น”
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
รับชมความคิดเห็นของราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอของนูทานิคซ์ เกี่ยวกับข่าวสารนี้ไดที่ลิงก์นี้
อ่านบล็อกนูทานิคซ์ที่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวนี้:
มีอะไรใหม่ใน Nutanix Cloud Infrastructure 7.5
การบริหารจัดการระดับองค์กร ที่สร้างมาเพื่อความสามารถในการขยาย อำนาจอธิปไตย และความแข็งแกร่ง
การเพิ่มประสิทธิภาพการกู้คืนความเสียหาย (Disaster Recovery)
ความมั่นคงปลอดภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Integrated Security) คือส่วนประกอบสำคัญของระบบคลาวด์แบบกระจายตัวที่มีอธิปไตย (Distributed Sovereign Cloud)
เกี่ยวกับนูทานิคซ์
นูทานิคซ์เป็นผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์คลาวด์ นำเสนอแพลตฟอร์มแพลตฟอร์มเดียวให้องค์กรใช้รันแอปพลิเคชันและจัดการข้อมูลได้จากทุกที่ นูทานิคซ์ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถลดความซับซ้อนและทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ ง่ายขึ้น และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ทางธุรกิจ นูทานิคซ์มีรากฐานในฐานะผู้บุกเบิกโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ และได้รับความไว้วางใจจากบริษัททั่วโลก ให้เป็นผู้ขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมไฮบริดมัลติคลาวด์ต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง ไม่ซับซ้อน และคุ้มค่าใช้จ่าย ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nutanix.com หรือติดตามนูทานิคซ์ทางทวิตเตอร์ @nutanix
NVIDIA อาจลดกำลังผลิตการ์ดจอ GeForce RTX 50 ลงสูงสุด 40% ในช่วงต้นปี 2026 จากปัญหาหน่วยความจำที่ขาดแคลน

มีรายงานจากแหล่งข่าวซัพพลายเชนในเอเชียระบุว่า NVIDIA กำลังพิจารณาปรับลดการผลิตการ์ดจอ GeForce RTX 50 Series ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดยอาจลดลงราว 30–40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2025 สาเหตุหลักไม่ใช่แค่ VRAM อย่างเดียว แต่รวมถึงความขาดแคลนของหน่วยความจำหลายประเภท ทั้ง GDDR6, GDDR7 รวมถึง DDR5/DDR4 ที่ใช้บนเมนบอร์ดด้วย
รายงานจาก Board Channels ระบุว่า NVIDIA อาจมีการปรับสัดส่วนการจัดสรรการ์ดให้กับพาร์ตเนอร์ AIC โดยเฉพาะในจีน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด DIY ที่เปลี่ยนไป ขณะที่ Benchlife เสริมว่า รุ่นที่อาจได้รับผลกระทบก่อนคือ GeForce RTX 5070 Ti และ RTX 5060 Ti 16GB ซึ่งเป็นรุ่นยอดนิยมด้านความคุ้มค่าในตระกูล Blackwell
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงข่าวลือระดับภูมิภาค และยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก NVIDIA โดยก่อนหน้านี้ก็มีรายงานจากเกาหลีและไต้หวันว่า ทั้ง AMD และ NVIDIA เริ่มพิจารณาลดกำลังผลิต GPU แล้ว จากปัญหาหน่วยความจำตึงตัว ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับแผนการผลิตในระดับโลก ไม่ใช่แค่บางภูมิภาคเท่านั้น
คินดริลและไมโครซอฟท์เผย 82% องค์กรไทย ผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อน เพื่อปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น และความตระหนักต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ของ AI ที่มีมากขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
เพื่อสร้างผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
กรุงเทพฯ : วันที่ 15 ธันวาคม 2568 - คินดริล (Kyndryl) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) เผยแพร่ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปีครั้งที่สาม ซึ่งจัดทำโดย Ecosystm ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรในประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และทีมงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยมากกว่าแปดในสิบองค์กร (82%) รายงานว่า ทั้งสองส่วนงานนี้มีการทำงานอย่างสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 73% ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเสริมสร้างความยั่งยืน และการนำ AI มาผสานใช้ในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม

องค์กรเหล่านี้จำนวนหนึ่งในสาม (32%) ยังคงรักษาหรือพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตเต็มที่ทั้งในด้านความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ตอบสนองต่อความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำลังพัฒนา ตอบสนองต่อการจัดลำดับความสำคัญของผู้ลงทุน และกรอบการรายงานที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจไทยกำลังสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แข็งแกร่ง โอกาสต่อไปอยู่ที่การเปลี่ยนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบตั้งรับ ไปสู่แนวทางที่ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ การที่องค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมที่ทำงานแยกส่วนกัน ไปสู่แนวทางการทำงานที่มีการบูรณาการมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลและ AI จะทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทรงพลังได้มากขึ้น”

ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและเป็นผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย AI ในอนาคต
ผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีในองค์กรไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนในทุกส่วนขององค์กร โดยคิดเป็นหนึ่งในห้า (20%) ของทีมไอทีทั้งหมดที่ทำการศึกษา ในขณะที่ผู้นำด้านความยั่งยืน 32% มีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลด้านไอที สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมในการจัดลำดับความสำคัญและผนวกรวมเป้าหมายทางธุรกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จำนวนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากขึ้น โดยหนึ่งในสองขององค์กรเหล่านี้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสินทรัพย์ขององค์กร
อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า การนำ AI มาใช้เชิงกลยุทธ์นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีเพียง 28% ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และ 57% กำลังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้จริง อยู่ในขั้นทดลองและเริ่มดำเนินการ หรือกำลังพิจารณานำ Agentic AI ไปใช้ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ องค์กรส่วนใหญ่ระบุว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลเป็นส่วนที่ต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำแอปพลิเคชัน AI ที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้ องค์กรจำนวนมากยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการผนวกความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานหลักของธุรกิจ โดยมีเพียงหนึ่งในสิบองค์กรเท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจ ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้รูปแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
นายริคาร์โด ดาวิลา ผู้จัดการทั่วไป ด้านโซลูชันพันธมิตรระดับองค์กรของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรชั้นนำมากกว่าครึ่งใช้ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) เพื่อคาดการณ์และรับมือความท้าทายด้านความยั่งยืน มากกว่าใช้เป็นเพียงแค่ติดตามและวิเคราะห์เท่านั้น ทำให้มีการนำข้อมูลเชิงคาดการณ์ไปเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกแห่งเปลี่ยนความยั่งยืนให้เป็นความสามารถในการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
ผลการศึกษาสำคัญขององค์กรไทย
องค์กรไทยกำลังเสริมแกร่งรากฐานให้กับความสามารถด้านความยั่งยืน: องค์กรไทยกำลังยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ โดย 57% ขององค์กรถือว่าความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ นอกจากนี้องค์กรหนึ่งในสาม (32%) ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการริเริ่มที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือดำเนินการในเชิงรุก ซึ่งบ่งชี้ว่า แม้เส้นทางเดินสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็กำลังมีพัฒนาการและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
การตัดสินใจด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และความคุ้มค่าด้านต้นทุน: ความพยายามด้าน ESG ขององค์กรไทย มีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับผลประกอบการหรือฐานะทางการเงิน โดย 65% ขององค์กรระบุว่า การลดต้นทุนการดำเนินงานเป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้รับจากโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ 45% ยังคาดว่าความยั่งยืนจะนำสู่นวัตกรรมและโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และ 50% เร่งดำเนินโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ 48% ยังคงมองว่าการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นความท้าทายที่ยังต้องแก้ไข
การตื่นตัวสู่ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green AI) ในประเทศไทย บ่งชี้เรื่องความพร้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ: ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7% เป็น 42% ภายในปีเดียว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าในการใช้ความสามารถเชิงคาดการณ์ โดย 50% ขององค์กรที่ทำการศึกษา ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 28% เท่านั้นที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการตัดสินใจด้านความยั่งยืน และช่องว่างด้านความพร้อมของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง
นาย Sash Mukherjee, รองประธานฝ่าย Industry Insights, Ecosystm กล่าวว่า “มีแรงผลักดันที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ และองค์กรต่างตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับเมื่อสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างสอดคล้องกัน และเมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก predictive AI และ agentic AI เพื่อผนวกความสามารถในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้ากับแนวทางปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนได้”
เกี่ยวกับ Global Sustainability Barometer Study
Global Sustainability Barometer Study ฉบับที่สาม จัดทำโดย Ecosystm โดยได้รับมอบหมายจากคินดริล และไมโครซอฟท์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้นำองค์กร 1,286 คน ครอบคลุม 20 ประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 กลุ่ม การศึกษานี้จัดทำระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบูรณาการกลยุทธ์และเทคโนโลยี กำลังพลิกโฉมเรื่องของความยั่งยืน จากการปฏิบัติตามกฎระเบียบไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานนี้ได้ที่: From Planning to Progress: AI-Driven Sustainability in Practice
PDPC ชี้แจงทุกขั้นตอน: กรณีข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เน้นสอบทุกประเด็นการกระทำผิด ไม่มีการเลือกปฏิบัติ

(กรุงเทพฯ, 16 ธันวาคม 2568) พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC หรือ สคส.) ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงความคืบหน้าและหลักการในการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลในสื่อสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับบุคลลใกล้ชิดของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดีอี โดยเลขาธิการ PDPC ยืนยันว่า สำนักงานฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบทุกประเด็นอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยยึดถือบทบัญญัติของกฎหมาย PDPA เป็นสาระสำคัญ
เลขาธิการ พ.ต.อ.สุรพงศ์ ได้สรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้นและแนวทางการบังคับใช้กฎหมายใน 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. ประเด็นการกระทำของผู้โพสต์ข้อมูล (กรณีมาตรา 4(1))
สำนักงานฯ ได้พิจารณาการกระทำของผู้โพสต์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า เนื่องจากเป็นการโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีในลักษณะการประชดประชัน และ มิได้มีเจตนาในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอเพื่อกิจการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ การกระทำนี้จึงเข้าข่ายการดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย PDPA ตามมาตรา 4(1)
“อย่างไรก็ตาม แม้การกระทำนี้จะอยู่นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของ PDPA หากการโพสต์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น ผู้โพสต์อาจมีความรับผิดตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท” โดยความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดส่วนตัวที่ผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีได้

2. ประเด็นการรั่วไหลของข้อมูลจากผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller)
ในส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่ถูกนำมาโพสต์อาจเป็นข้อมูลที่รั่วไหลมาจากการควบคุมดูแลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งถือเป็น “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” ตามกฎหมาย PDPA นั้น เลขาธิการ PDPC ชี้แจงว่า “ประเด็นนี้อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมาย PDPA อย่างเต็มรูปแบบ โดย สตช. มีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและแจ้งเหตุการละเมิดมายัง PDPC ภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ สตช. ได้ดำเนินการแจ้งเหตุการละเมิดเข้ามาแล้ว แต่ข้อมูลที่แจ้งมานั้น ยังไม่ครบถ้วนเพียงพอต่อการสรุปข้อเท็จจริง ดังนั้น PDPC จึงได้ส่งหนังสือให้ สตช. ชี้แจงและจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมเป็นการเร่งด่วน”
หากผลการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า สตช.มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อาทิ ไม่ได้จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมเพียงพอ หรือหากมีผู้เสียหายใช้สิทธิร้องเรียนมา สำนักงานฯ จะเร่งรายงานต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาโทษทางปกครองต่อไปอย่างไม่มีการละเว้น
อีสปอร์ต ‘FC Online’ ทีมชาติไทย คว้าแชมป์ในศึกซีเกมส์ 2 สมัยซ้อน ประเดิม ‘เหรียญทองแรก’ ให้อีสปอร์ตไทยในซีเกมส์ ครั้งที่ 33

(กรุงเทพฯ, 15 ธันวาคม 2568) – นักกีฬาอีสปอร์ต FC Online ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองให้ประเทศไทยได้สำเร็จ จากการแข่งขัน EA Sports FC Online ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) ซึ่งเป็นไปอย่างดุเดือด โดยทีมชาติไทยได้โคจรมาพบทีมชาติเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะเอาชนะไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีแชมป์เก่า
ทีมอีสปอร์ต FC Online ชุดทีมชาติไทยนำทัพโดยผู้เล่นหลัก ได้แก่ TDKeane (ธีเดช ทรงสายสกุล), Michael04 (สรวิศ รจนะศิลปิน), JUBJUB (พัฒนศักดิ์ วรนันท์) และ JiffyJay (จิฟรีย์ ใบกาเด็ม) ซึ่งยังคงโชว์ความแข็งแกร่งและป้องกันแชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเก็บชัยชนะแบบขาดลอย 4-1 เกม และคว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 2 ไปได้อย่างสง่างาม
ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำการแข่งขันเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2568 ทีมชาติไทยออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม จากผลงานของน้องเล็กประจำทีม JiffyJay ที่ประเดิมชัยเอาชนะ Quy Duy ตัวแทนจากเวียดนาม ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ Michael04 ลงสนามในเกมถัดมา และเสมอกับ Tan Sang ด้วยสกอร์รวม 2-2 ประตู
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยพลาดท่าในการดวลจุดโทษ ส่งผลให้เวียดนามไล่ตีเสมอขึ้นมาได้สำเร็จ ก่อนจะเป็นคิวของ JUBJUB ที่ลงสนามในเกมที่สาม พบกับ Hoang Hiep ซึ่ง JUBJUB แสดงความนิ่ง ซัดประตูตีเสมอในช่วงนาทีสุดท้าย ก่อนคว้าชัยในการดวลจุดโทษ พาทีมชาติไทยกลับมาขึ้นนำอีกครั้ง
จากนั้นเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ TDKeane ที่ลงสนามในเกมที่ 4 พบกับ Anh Tuan โดย TDKeane เฉือนเอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 ส่งทีมชาติไทยขึ้นสู่ Gold Medal Point และยังได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามต่อในเกมตัดสิน ก่อนที่ TDKeane จะปิดจ็อบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการเอาชนะ Tan Sang นาทีบาปไปด้วยสกอร์ 3-2 พาทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ
สรุปอันดับคะแนน
- อันดับที่ 1 - ไทย
- อันดับที่ 2 - เวียดนาม
- อันดับที่ 3 - อินโดนีเชีย
- อันดับที่ 4 - เมียนมา
- อันดับที่ 5 - 6 - สิงคโปร์, ติมอร์ เลสเต
สามารถติดตามข่าวสารอัปเดตเพิ่มเติมได้ที่ FC Online Esports Thailand
แหล่งข่าวเผย Intel ทำข้อตกลงเบื้องต้น เตรียมเข้าซื้อ SambaNova สตาร์ทอัพชิป AI

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับสื่อ Wired รายงานว่า Intel ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับใหม่กับ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้านชิปปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการเข้าซื้อกิจการภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม เอกสารข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียง Term Sheet แบบไม่ผูกมัด (Non-binding) ซึ่งสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ และขณะนี้ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย
รายงานยังระบุว่า Lip-Bu Tan ซีอีโอคนปัจจุบันของ Intel เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของ SambaNova มาก่อน ทำให้เขามีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการดำเนินงานของบริษัทนี้เป็นอย่างดี
จนถึงช่วงต้นปี 2025 SambaNova สามารถระดมทุนได้รวมกว่า 1.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวทางการพัฒนาชิป AI ของบริษัท
SambaNova พัฒนาโซลูชัน AI บนสถาปัตยกรรม Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่มากระดับ ล้านล้านพารามิเตอร์ สำหรับงาน Inference ผ่านระบบแบบ Rack-scale อย่าง SambaRack
ชิป RDU รุ่นที่ 4 ล่าสุด มาพร้อม
1,040 คอร์ RDU
พลังประมวลผลสูงสุด 653 TFLOPS (BF16)
หน่วยความจำบนชิป 520 MB
HBM3 ขนาด 64 GB
และหน่วยความจำ DDR ภายนอกรวมสูงสุด 1.5 TB เพื่อรองรับโมเดลภาษา LLM ขนาดใหญ่
เนื่องจาก SambaNova เป็นบริษัทเอกชน จึงยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลยอดขายอย่างเป็นทางการ หากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Intel ในการเสริมทัพเทคโนโลยี AI Accelerator และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด AI ระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์