บทความเด็ด
ดูบทความทั้งหมดNotebook Corner
ดูเนื้อหาเกี่ยวกับ Notebook ทั้งหมด
Review : MSI GT60 Gaming Notebook
Ivy-Bridge i7 + GTX670 + SSD 64gbx2 RAID0 ตกลงแล้วนี่คอมตั้งโต๊ะ หรือโน๊ตบุ๊กจริงๆ ?
Review : Samsung 5 Series Ultrabook
Samsung 530U4 5 Series ultrabook มาพร้อมกับจอ 14 นิ้วและออฟติคัลไดร์ฟ
Preview : New Asus N56VM !! พร้อมขุมพลังใหม่
N series 15 นิ้ว โฉมใหม่ ไฉไลกว่าเดิม พร้อมแรงกว่าเดิมด้วยพลังจากภายใน !!
Review : Acer Aspire One D270
เน็ทบุคบางเบา ยอดประหยัดไฟขุมพลัง Dual Core
Notebook News Update
Printer Corner
ดูเนื้อหาเกี่ยวกับ Printer ทั้งหมดHP Smart Tank 580 All-in-One Printer Review
HP Smart Tank 580 All-in-One Printer Review ปริ้นเตอร์สมาร์ทไร้สายสั่งการปริ้นผ่านสมาร์ทโฟนหรือพีซีดีไซน์สวยงามปริ้นด้วยความคมชัดสีสรรสดใส พิมพ์ได้คุ้มๆ 6,000หน้า เหมาะสำหรับออฟฟิคสำนักงานและใช้งานที่บ้านอย่างคุ้มค่าคุ้มราคา
HP OfficeJet 7510 Wide Format All-in-One Printer Review
HP OfficeJet 7510 Wide Format All-in-One Printer Review อัดแน่นด้วยฟีเจอร์แบบครบครันสำหรับองค์กรและสำนักงานที่เน้นความคุ้มค่าประหยัดในการใช้งาน
HP Deskjet Ink Advantage Ultra 4729 All-in-One Printer
HP Deskjet Ink Advantage Ultra 4729 All-in-One Printer เครื่องปรินต์คุณภาพปรินต์ได้สูงสุดถึง 1500แผ่นต่อหมึกหนึ่งตลับ จัดเต็มด้วยฟีเจอร์ที่มากมายสุดคุ้มค่าสุดประหยัด
HP Deskjet Ink Advantage 3635
HP Deskjet Ink Advantage 3635 รองรับการใช้งานที่หลากหลายด้วยเทคโนโลยีไร้สาย HP wireless direct กับราคาเร้าใจเพียงสามพันกว่าบาท
Printer News Update
กระดานข่าว Vmodtech
เข้าเว็บบอร์ด
Update ข่าวสาร
ดูข่าวทั้งหมดคินดริลและไมโครซอฟท์เผย 82% องค์กรไทย ผนึกพลังไอที-ความยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่ง ชี้ AI คือกลไกขับเคลื่อน เพื่อปลดล็อกการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น และความตระหนักต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ของ AI ที่มีมากขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
เพื่อสร้างผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
กรุงเทพฯ : วันที่ 15 ธันวาคม 2568 - คินดริล (Kyndryl) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) เผยแพร่ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปีครั้งที่สาม ซึ่งจัดทำโดย Ecosystm ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรในประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และทีมงานด้านความยั่งยืนอยู่ในระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยมากกว่าแปดในสิบองค์กร (82%) รายงานว่า ทั้งสองส่วนงานนี้มีการทำงานอย่างสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 73% ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเสริมสร้างความยั่งยืน และการนำ AI มาผสานใช้ในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม

องค์กรเหล่านี้จำนวนหนึ่งในสาม (32%) ยังคงรักษาหรือพัฒนาเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตเต็มที่ทั้งในด้านความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน อันเนื่องมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ตอบสนองต่อความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่กำลังพัฒนา ตอบสนองต่อการจัดลำดับความสำคัญของผู้ลงทุน และกรอบการรายงานที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจไทยกำลังสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการสร้างผลกระทบด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แข็งแกร่ง โอกาสต่อไปอยู่ที่การเปลี่ยนจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบตั้งรับ ไปสู่แนวทางที่ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ การที่องค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิมที่ทำงานแยกส่วนกัน ไปสู่แนวทางการทำงานที่มีการบูรณาการมากขึ้น พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้านการจัดการข้อมูลและ AI จะทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทรงพลังได้มากขึ้น”

ประเทศไทยแสดงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและเป็นผู้นำการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย AI ในอนาคต
ผลการศึกษาชี้ว่า ปัจจุบันทีมงานด้านไอทีในองค์กรไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนในทุกส่วนขององค์กร โดยคิดเป็นหนึ่งในห้า (20%) ของทีมไอทีทั้งหมดที่ทำการศึกษา ในขณะที่ผู้นำด้านความยั่งยืน 32% มีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลด้านไอที สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไทยมีความพร้อมในการจัดลำดับความสำคัญและผนวกรวมเป้าหมายทางธุรกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จำนวนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็มีมากขึ้น โดยหนึ่งในสองขององค์กรเหล่านี้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและสินทรัพย์ขององค์กร
อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า การนำ AI มาใช้เชิงกลยุทธ์นั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีเพียง 28% ที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และ 57% กำลังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้จริง อยู่ในขั้นทดลองและเริ่มดำเนินการ หรือกำลังพิจารณานำ Agentic AI ไปใช้ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมแบบเรียลไทม์ องค์กรส่วนใหญ่ระบุว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลเป็นส่วนที่ต้องปรับปรุงก่อนที่จะนำแอปพลิเคชัน AI ที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้ องค์กรจำนวนมากยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการผนวกความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงานหลักของธุรกิจ โดยมีเพียงหนึ่งในสิบองค์กรเท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับธุรกิจ ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าแม้รูปแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรไทยยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
นายริคาร์โด ดาวิลา ผู้จัดการทั่วไป ด้านโซลูชันพันธมิตรระดับองค์กรของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ประจำปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าองค์กรชั้นนำมากกว่าครึ่งใช้ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) เพื่อคาดการณ์และรับมือความท้าทายด้านความยั่งยืน มากกว่าใช้เป็นเพียงแค่ติดตามและวิเคราะห์เท่านั้น ทำให้มีการนำข้อมูลเชิงคาดการณ์ไปเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ เพื่อช่วยให้องค์กรทุกแห่งเปลี่ยนความยั่งยืนให้เป็นความสามารถในการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
ผลการศึกษาสำคัญขององค์กรไทย
องค์กรไทยกำลังเสริมแกร่งรากฐานให้กับความสามารถด้านความยั่งยืน: องค์กรไทยกำลังยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ โดย 57% ขององค์กรถือว่าความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์อันดับต้น ๆ นอกจากนี้องค์กรหนึ่งในสาม (32%) ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการริเริ่มที่ทำอย่างสม่ำเสมอหรือดำเนินการในเชิงรุก ซึ่งบ่งชี้ว่า แม้เส้นทางเดินสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็กำลังมีพัฒนาการและคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
การตัดสินใจด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนด้วยผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และความคุ้มค่าด้านต้นทุน: ความพยายามด้าน ESG ขององค์กรไทย มีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับผลประกอบการหรือฐานะทางการเงิน โดย 65% ขององค์กรระบุว่า การลดต้นทุนการดำเนินงานเป็นประโยชน์สูงสุดที่ได้รับจากโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ 45% ยังคาดว่าความยั่งยืนจะนำสู่นวัตกรรมและโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และ 50% เร่งดำเนินโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา หลังจากที่เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ 48% ยังคงมองว่าการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นความท้าทายที่ยังต้องแก้ไข
การตื่นตัวสู่ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green AI) ในประเทศไทย บ่งชี้เรื่องความพร้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ: ความตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ AI ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 7% เป็น 42% ภายในปีเดียว ประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าในการใช้ความสามารถเชิงคาดการณ์ โดย 50% ขององค์กรที่ทำการศึกษา ใช้ AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 28% เท่านั้นที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการตัดสินใจด้านความยั่งยืน และช่องว่างด้านความพร้อมของข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง
นาย Sash Mukherjee, รองประธานฝ่าย Industry Insights, Ecosystm กล่าวว่า “มีแรงผลักดันที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ และองค์กรต่างตระหนักถึงคุณค่าที่จะได้รับเมื่อสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับกลยุทธ์ได้อย่างสอดคล้องกัน และเมื่อมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขึ้น องค์กรจะสามารถใช้ประโยชน์จาก predictive AI และ agentic AI เพื่อผนวกความสามารถในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น เข้ากับแนวทางปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนได้”
เกี่ยวกับ Global Sustainability Barometer Study
Global Sustainability Barometer Study ฉบับที่สาม จัดทำโดย Ecosystm โดยได้รับมอบหมายจากคินดริล และไมโครซอฟท์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้นำองค์กร 1,286 คน ครอบคลุม 20 ประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 กลุ่ม การศึกษานี้จัดทำระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุมมองที่ชัดเจนว่าการบูรณาการกลยุทธ์และเทคโนโลยี กำลังพลิกโฉมเรื่องของความยั่งยืน จากการปฏิบัติตามกฎระเบียบไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานนี้ได้ที่: From Planning to Progress: AI-Driven Sustainability in Practice
PDPC ชี้แจงทุกขั้นตอน: กรณีข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เน้นสอบทุกประเด็นการกระทำผิด ไม่มีการเลือกปฏิบัติ

(กรุงเทพฯ, 16 ธันวาคม 2568) พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC หรือ สคส.) ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงความคืบหน้าและหลักการในการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลในสื่อสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับบุคลลใกล้ชิดของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดีอี โดยเลขาธิการ PDPC ยืนยันว่า สำนักงานฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบทุกประเด็นอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยยึดถือบทบัญญัติของกฎหมาย PDPA เป็นสาระสำคัญ
เลขาธิการ พ.ต.อ.สุรพงศ์ ได้สรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้นและแนวทางการบังคับใช้กฎหมายใน 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. ประเด็นการกระทำของผู้โพสต์ข้อมูล (กรณีมาตรา 4(1))
สำนักงานฯ ได้พิจารณาการกระทำของผู้โพสต์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า เนื่องจากเป็นการโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีในลักษณะการประชดประชัน และ มิได้มีเจตนาในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอเพื่อกิจการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ การกระทำนี้จึงเข้าข่ายการดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย PDPA ตามมาตรา 4(1)
“อย่างไรก็ตาม แม้การกระทำนี้จะอยู่นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของ PDPA หากการโพสต์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น ผู้โพสต์อาจมีความรับผิดตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท” โดยความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดส่วนตัวที่ผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีได้

2. ประเด็นการรั่วไหลของข้อมูลจากผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller)
ในส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่ถูกนำมาโพสต์อาจเป็นข้อมูลที่รั่วไหลมาจากการควบคุมดูแลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งถือเป็น “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” ตามกฎหมาย PDPA นั้น เลขาธิการ PDPC ชี้แจงว่า “ประเด็นนี้อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมาย PDPA อย่างเต็มรูปแบบ โดย สตช. มีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบและแจ้งเหตุการละเมิดมายัง PDPC ภายใน 72 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ สตช. ได้ดำเนินการแจ้งเหตุการละเมิดเข้ามาแล้ว แต่ข้อมูลที่แจ้งมานั้น ยังไม่ครบถ้วนเพียงพอต่อการสรุปข้อเท็จจริง ดังนั้น PDPC จึงได้ส่งหนังสือให้ สตช. ชี้แจงและจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมเป็นการเร่งด่วน”
หากผลการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า สตช.มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อาทิ ไม่ได้จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมเพียงพอ หรือหากมีผู้เสียหายใช้สิทธิร้องเรียนมา สำนักงานฯ จะเร่งรายงานต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาโทษทางปกครองต่อไปอย่างไม่มีการละเว้น
อีสปอร์ต ‘FC Online’ ทีมชาติไทย คว้าแชมป์ในศึกซีเกมส์ 2 สมัยซ้อน ประเดิม ‘เหรียญทองแรก’ ให้อีสปอร์ตไทยในซีเกมส์ ครั้งที่ 33

(กรุงเทพฯ, 15 ธันวาคม 2568) – นักกีฬาอีสปอร์ต FC Online ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองให้ประเทศไทยได้สำเร็จ จากการแข่งขัน EA Sports FC Online ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) ซึ่งเป็นไปอย่างดุเดือด โดยทีมชาติไทยได้โคจรมาพบทีมชาติเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะเอาชนะไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีแชมป์เก่า
ทีมอีสปอร์ต FC Online ชุดทีมชาติไทยนำทัพโดยผู้เล่นหลัก ได้แก่ TDKeane (ธีเดช ทรงสายสกุล), Michael04 (สรวิศ รจนะศิลปิน), JUBJUB (พัฒนศักดิ์ วรนันท์) และ JiffyJay (จิฟรีย์ ใบกาเด็ม) ซึ่งยังคงโชว์ความแข็งแกร่งและป้องกันแชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเก็บชัยชนะแบบขาดลอย 4-1 เกม และคว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 2 ไปได้อย่างสง่างาม
ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำการแข่งขันเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2568 ทีมชาติไทยออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม จากผลงานของน้องเล็กประจำทีม JiffyJay ที่ประเดิมชัยเอาชนะ Quy Duy ตัวแทนจากเวียดนาม ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ Michael04 ลงสนามในเกมถัดมา และเสมอกับ Tan Sang ด้วยสกอร์รวม 2-2 ประตู
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยพลาดท่าในการดวลจุดโทษ ส่งผลให้เวียดนามไล่ตีเสมอขึ้นมาได้สำเร็จ ก่อนจะเป็นคิวของ JUBJUB ที่ลงสนามในเกมที่สาม พบกับ Hoang Hiep ซึ่ง JUBJUB แสดงความนิ่ง ซัดประตูตีเสมอในช่วงนาทีสุดท้าย ก่อนคว้าชัยในการดวลจุดโทษ พาทีมชาติไทยกลับมาขึ้นนำอีกครั้ง
จากนั้นเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ TDKeane ที่ลงสนามในเกมที่ 4 พบกับ Anh Tuan โดย TDKeane เฉือนเอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 ส่งทีมชาติไทยขึ้นสู่ Gold Medal Point และยังได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามต่อในเกมตัดสิน ก่อนที่ TDKeane จะปิดจ็อบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการเอาชนะ Tan Sang นาทีบาปไปด้วยสกอร์ 3-2 พาทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ
สรุปอันดับคะแนน
- อันดับที่ 1 - ไทย
- อันดับที่ 2 - เวียดนาม
- อันดับที่ 3 - อินโดนีเชีย
- อันดับที่ 4 - เมียนมา
- อันดับที่ 5 - 6 - สิงคโปร์, ติมอร์ เลสเต
สามารถติดตามข่าวสารอัปเดตเพิ่มเติมได้ที่ FC Online Esports Thailand
แหล่งข่าวเผย Intel ทำข้อตกลงเบื้องต้น เตรียมเข้าซื้อ SambaNova สตาร์ทอัพชิป AI

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับสื่อ Wired รายงานว่า Intel ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับใหม่กับ SambaNova Systems บริษัทสตาร์ทอัพด้านชิปปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการเข้าซื้อกิจการภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม เอกสารข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียง Term Sheet แบบไม่ผูกมัด (Non-binding) ซึ่งสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ และขณะนี้ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย
รายงานยังระบุว่า Lip-Bu Tan ซีอีโอคนปัจจุบันของ Intel เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของ SambaNova มาก่อน ทำให้เขามีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการดำเนินงานของบริษัทนี้เป็นอย่างดี
จนถึงช่วงต้นปี 2025 SambaNova สามารถระดมทุนได้รวมกว่า 1.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวทางการพัฒนาชิป AI ของบริษัท
SambaNova พัฒนาโซลูชัน AI บนสถาปัตยกรรม Reconfigurable Dataflow Unit (RDU) ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่มากระดับ ล้านล้านพารามิเตอร์ สำหรับงาน Inference ผ่านระบบแบบ Rack-scale อย่าง SambaRack
ชิป RDU รุ่นที่ 4 ล่าสุด มาพร้อม
1,040 คอร์ RDU
พลังประมวลผลสูงสุด 653 TFLOPS (BF16)
หน่วยความจำบนชิป 520 MB
HBM3 ขนาด 64 GB
และหน่วยความจำ DDR ภายนอกรวมสูงสุด 1.5 TB เพื่อรองรับโมเดลภาษา LLM ขนาดใหญ่
เนื่องจาก SambaNova เป็นบริษัทเอกชน จึงยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลยอดขายอย่างเป็นทางการ หากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Intel ในการเสริมทัพเทคโนโลยี AI Accelerator และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด AI ระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์
ข้อตกลงจัดซื้อ DRAM ระยะยาวของ Apple ใกล้หมดอายุ อาจต้องจ่ายแพงขึ้นให้ Samsung และ SK hynix ตั้งแต่ต้นปี 2026 เป็นต้นไป

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมรายงานว่า ข้อตกลงระยะยาวของ Apple สำหรับการจัดซื้อชิปหน่วยความจำ DRAM กำลังจะหมดอายุในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2026 เป็นต้นไป Apple มีแนวโน้มต้องจ่ายเงินให้กับซัพพลายเออร์หลักอย่าง Samsung Electronics และ SK hynix ในราคาที่สูงกว่าเดิม
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหน่วยความจำทั่วโลกอยู่ในภาวะตึงตัว จากความต้องการ DRAM ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่ม AI, ดาต้าเซ็นเตอร์ และเซิร์ฟเวอร์ ส่งผลให้ผู้ผลิตหน่วยความจำมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่จำเป็นต้องยอมรับต้นทุนที่สูงขึ้น
หาก Apple ไม่สามารถต่อสัญญาในเงื่อนไขเดิมได้ ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์อย่าง iPhone, iPad และ Mac อาจปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างราคาและกลยุทธ์ด้านต้นทุนของบริษัทในระยะถัดไป
NVIDIA H200 AI GPU ความต้องการพุ่งแรงในจีน หลังสหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการขาย เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อไม่ให้กระทบลูกค้าในสหรัฐฯ

NVIDIA กำลังเผชิญกับความต้องการอย่างสูงสำหรับ Hopper H200 AI GPU ในประเทศจีน หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดและอนุญาตให้จำหน่าย GPU H200 ตระกูล Hopper รุ่นเก่าให้จีนได้ ขณะที่ยังคงห้ามขายรุ่นใหม่อย่าง Blackwell และ Blackwell Ultra
รายงานจาก Reuters ระบุว่า ดีมานด์ในจีนแรงเกินคาดจน NVIDIA พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตผ่านพาร์ตเนอร์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของซัพพลายเชน โดยภายใต้ข้อตกลงใหม่ NVIDIA ต้องแบ่งรายได้จากการขาย 25% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทต้องลดมาร์จินหรือปรับราคาขายในตลาดจีน
ก่อนหน้านี้มีการคาดว่าจีนจะหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เมื่อ H200 ยังได้รับความสนใจสูงจนต้องขยายสายการผลิตเพิ่มเติม
โฆษก NVIDIA ยืนยันว่า บริษัทบริหารซัพพลายเชนอย่างรอบคอบ เพื่อให้การจำหน่าย H200 ในจีน ไม่กระทบต่อการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าในสหรัฐฯ พร้อมกันนี้ NVIDIA ยังคงเร่งผลิต Blackwell Ultra และเตรียมนำสถาปัตยกรรม Rubin เข้าสู่การผลิตในปีหน้า
แม้ H200 จะเป็นชิปรุ่นก่อนหน้า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูงและซอฟต์แวร์รองรับแข็งแกร่ง ทำให้เป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับตลาด AI ระดับเล็กถึงกลางในจีน โดยการอนุมัติจำหน่ายอย่างเป็นทางการยังต้องรอการตัดสินใจจากทางการจีนในเร็ว ๆ นี้
EN








